รีวิวสารคดีเรื่อง Behind the Curve เจาะลึกชาวโลกแบน
สารคดีเรื่อง Behind the Curve เป็นการนำเสนอคนกลุ่มหนึ่งในสหรัฐอเมริกาที่เรียกตัวเองว่า Flat Earthers ซึ่งเชื่ออย่างจริงจังว่าโลกใบนี้ "แบน" (Flat = แบน) ไม่ได้กลมแบบที่นักวิทยาศาสตร์ NASA หลอกลวง ..... (ห๊ะ!) ซึ่งครูโจโจ้ได้ดูสารคดีเรื่องนี้ใน Netflix ครับ
มีคนที่เขียนหนังสือสร้างทฤษฏีสมคบคิดเรื่องโลกแบนไว้มากมายในอดีต อันมีจุดกำเนิดจากการที่คนไปตีความผิด ๆ จากพระคัมภีร์ไบเบิ้ล ซึ่งไบเบิ้ลไม่เคยบอกว่าโลกนี้แบนแต่อย่างใด (อ่านเพิ่มเติมได้ที่ คัมภีร์ไบเบิ้ลสอนไหมว่าโลกแบน?)
เรื่องของเรื่องก็คือ มีผู้ชายคนหนึ่งนามว่า Mark Sargent ผู้ซึ่งหยิบหนังสือที่สร้างทฤษฏีสมคบคิด (conspiracy theory) ว่าโลกใบนี้แบนมาอ่านและเชื่ออย่างสุดจิตสุดใจ เชื่อว่าเราทั้งหลายอยู่บนโลกที่แบนเหมือนแผ่นซีดี เหตุเพราะเขาสังเกตจากการมองข้ามทะเลแถวบ้านแล้วยังมองเห็นอีกเมืองที่ไกลโพ้นออกไป ยิ่งทำให้เขามั่นใจและเชื่อว่า NASA สร้างข้อมูลหลอกลวง จากนั้นเขาเผยแพร่ความเชื่อของเขาผ่านช่องทาง YouTube สิ่งที่เหลือเชื่อนั่นก็คือ มีผู้ที่เห็นด้วยกับเขามากมายและกลายเป็นผู้ติดตามดั่งสาวกลัทธิอย่างไงอย่างงั้น
เขาได้เผยแพร่แนวคิดอย่างต่อเนื่อง และได้จัดตั้งเป็นองค์กรขึ้นมาเพื่อประชาสัมพันธ์หาสมาชิกเพิ่ม จนวันหนึ่งจึงมีการนัดรวมตัวพบกันกันของชาว Flat Earthers คือคนที่เชื่อว่าโลกแบน และที่ต้องอุทานอย่างหนักเลยว่า แม่เจ้า! มีเด็กอายุ 12 ปีก็เชื่อทฤษฏีสมคบคิดนี้ และไม่เชื่อคุณครูวิทยาศาสตร์ที่โรงเรียน! (หนักเลย)
สารคดีนำเสนอกลุ่มคนที่เชื่อว่าโลกแบนสลับกับนักวิทยาศาสตร์เพื่อให้เห็นมุมมองของทั้ง 2 ฝั่งตลอดเรื่อง รวมถึงนักจิตวิทยาที่วิเคราะห์พฤติกรรมของคนกลุ่มนี้ด้วยเช่นกัน
อย่างไรก็ดี ในสารคดีมีการสัมภาษณ์ชีวิตของชาวโลกแบนหลายคน ส่วนมากเล่าว่ามีปัญหากับครอบครัว บ้างก็โดนคู่รักบอกเลิกและหย่าร้างกันไปเพราะความเชื่อที่ไม่ตรงกันนี้ บ้างก็ต้องปลีกออกมาจากครอบครัวอยู่เพียงลำพังเพราะไม่มีใครยอมรับ สารคดีทำให้เห็นมุมมองแปลก ๆ ของคนกลุ่มนี้ราวกับพวก loser การที่พวกเขามาอยู่ร่วมกัน เชื่อร่วมกัน และ มีกิจกรรมร่วมกัน ก็เหมือนกับที่เพิ่งทางใจของพวกเขาที่รู้สึกว่าตัวเองแตกต่างไปจากสังคม แม้แต่ตัว Mark Sargent เองที่อายุ 50 ต้น ๆ ไม่มีครอบครัว ใช้ชีวิตอยู่กับแม่ เขามองว่าการแต่งงานและมีลูกเป็นเรื่องที่ "เสียเวลา" ซึ่ง Mark ก็โชคดีที่มีแม่ที่เข้าใจเขา พิธีกรพยายามถามแม่ของ Mark ว่าเชื่อในโลกแบนไหม แม่ของ Mark ไม่ได้บอกว่าเชื่อหรือไม่เชื่อ เธอตอบแบบกลาง ๆ ว่าให้นักวิทยาศาสตร์พิสูจน์พร้อมทั้งหลักฐานในสิ่งที่ Mark สงสัยสิ จะได้จบๆ เสียที ...
เรื่องนี้ดูเผินๆ อาจจะมองเป็นเรื่องตลก แต่จริงๆ แล้วมันไม่ตลกเลยกับการที่คนกลุ่มหนึ่งเชื่อในทฤษฏีสมคบคิดอย่างจริงจัง และเลือกที่จะไม่เชื่อหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ใดๆ ทั้งสิ้น ราวกับว่าฉีกตำราเรียนวิทยาศาสตร์ทิ้งทั้งหมดแล้วเลือกที่จะเชื่อความรู้สึกของตัวเองอย่างเดียว กลุ่มคนเหล่านี้มีความคิดเหมือนกับกลุ่มคนที่ไม่ยอมฉีดวัคซีน ไม่ว่าจะเป็นวัคซีนโปลิโอ ไข้หวัดใหญ่ ฯลฯ เพราะเชื่อว่าการฉีดวัคซีนทำให้ DNA เปลี่ยนไป ทั้งๆ ที่หลักฐานทางวิทยาศาสตร์ก็มีอยู่แล้วว่าไม่ได้เป็นแบบที่เขาเชื่อ แต่คนกลุ่มนี้กลับมองว่านักวิทยาศาสตร์สร้างข้อมูลเท็จไปอีก .. เห้อ คือยังไงก็จะไม่เชื่อ จะเชื่อในสิ่งที่ตัวเองเชื่อมาผิดๆ อย่างเดียว ซึ่งอันตรายไม่น้อย เพราะสร้างความเชื่อเป็นวงกว้าง
แต่จุดหักมุมในสารคดีเรื่องนี้มีในตอนจบ เป็นจุดที่สะใจจริงๆ คือในกลุ่มโลกแบนก็มีวัยรุ่นคนหนึ่งที่ต้องการจะทำให้นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าโลกแบนเหมือนที่เขาเชื่อ แต่การจะทำให้นักวิทยาศาสตร์เชื่อต้องใช้กระบวนทางวิทยาศาสตร์พิสูจน์ เขาจึงรวมกลุ่มกันทำการทดลองว่าโลกนี้แบนจริงๆ ด้วยการเจาะรูกระดาษแผ่นใหญ่ๆ ที่ความสูงเท่ากันทุกอย่าง แล้ววางไว้ในจุดที่ไกลโพ้นคนละเมืองเลยทีเดียว ถ้าหากว่าโลกนี้แบนอย่างที่เขาเชื่อจริง การส่องเลเซอร์จะต้องอยู่ที่ตำแหน่งตรงกัน แต่ถ้าหากโลกนี้กลม ส่วนโค้งจะทำให้ความสูงกว่ารูที่ตั้งไว้ การทดลองครั้งแรกล้มเหลว แสงเลเซอร์กระจายเพราะไกลกันมากจนดูไม่ออก แต่การทดลองครั้งที่ 2 ใช้ให้คนถือไฟฉายส่องผ่านรูแทน แล้วให้คนอีกฝั่งมองผ่านรูของตนเอง ปรากฏว่าในความสูงเท่ากันอีกคนไม่สามารถมองเห็นแสงไฟได้ คนถือไฟฉายต้องถือเหนือหัวอีกฝั่งจึงจะมองเห็นแสงลอดออกมา ตรงตามสมมติฐานถ้าโลกใบนี้กลมจริง แล้วสารดีก็ตัดจบไป
อย่างไรก็ดี นี่คือส่วนหนึ่งของการรับมือของนักวิทยาศาสตร์ที่ไม่ได้ปฏิเสธพวกเขา แต่เปิดโอกาสตัวเองเข้าไปฟังแนวคิดของพวกเขา และเปิดโอกาสพวกเขาได้แลกเปลี่ยนกับนักวิทยาศาสตร์ เพราะการปฏิเสธพวกเขายิ่งตอกย้ำความแปลกแยกของพวกเขาและอาจจะทำให้การเปิดใจนั้นยากขึ้น และนั่นจึงทำให้มีคนในกลุ่มโลกแบนต้องการทำการทดลองทางวิทยาศาสตร์เพื่อให้เห็นชัด ๆ ว่าโลกใบนี้แบนจริงตามที่เขาคิดหรือไม่ จะได้นำมาหักล้างกับทฤษฏีโลกกลม
ซึ่งนักวิทยาศาสตร์ยกย่องว่าคนกลุ่มที่ทดลองนี้คือนักวิทยาศาสตร์ที่ดี เพราะเกิดจากการตั้งปัญหา รวบรวมข้อมูล สร้างสมมติฐาน ทดลองพิสูจน์ และ สรุปผล ในที่สุด
ครูโจโจ้
www.facebook.com/engkrujojo
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น