"เขาผิดอะไรที่ป่วย ถึงต้องไปลงโทษเด็กขนาดนั้น?" ความคิดเห็นต่อกรณีครูลงโทษนักเรียนจนทำให้เสียชีวิต
ครูโจโจ้ได้มีโอกาสให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวประชาไทภาคภาษาอังกฤษ หรือ Prachatai English ต่อกรณีที่ครูลงโทษนักเรียนจนเสียชีวิต (สามารถอ่านฉบับเต็มได้ที่ https://prachatai.com/english/node/8786) ทั้งนี้จึงขอแสดงความคิดเห็นเป็นภาษาไทยลงในบทความนี้นะครับ
ผมอยากถามจริงๆ ว่าเขาผิดอะไรที่ป่วย ถึงต้องไปลงโทษเด็กขนาดนั้น? ผมไม่เคยเห็นด้วยกับการลงโทษนักเรียนด้วยวิธีรุนแรงเลย ไม่จำเป็น และไม่มีเหตุผลใดๆ ทั้งสิ้นที่ต้องใช้ความรุนแรง ยิ่งกรณีที่เด็กนักเรียนป่วยทำให้ขาดการส่งงานแต่กลับถูกลงโทษลุกนั่งเป็น 100 ครั้งจนทำให้น้องเสียชีวิต มันเป็นข่าวที่ทำให้ผมรู้สึกเสียใจกับการจากไปของนักเรียนจากการลงโทษที่ไม่เป็นธรรม และโกรธครูคนนั้น ใจของเขาช่างดำเหลือเกินแก่การที่จะทำอาชีพครู
ครูควรสอบถามพูดคุยเพื่อหาสาเหตุด้วยสันติวิธีเสียก่อน อย่างกรณีนี้ถ้าเราพบว่าเด็กนักเรียนป่วย เราควรเข้าใจ และให้โอกาสเขา มากกว่าลงโทษที่ไร้เหตุผล ไร้ความเมตตาปราณี แล้วการลุกนั่งที่ลงโทษแบบทหารนั้น เป็นการลงโทษที่รุนแรงและไม่สมควรนำมาใช้ในสถานศึกษา โรงเรียนไม่ใช่ค่ายทหาร!
และการลุงนั่งแบบนั้นจะเกิดผลเสียต่อเข่าของพวกเขาในอนาคต ครูพละที่ผมรู้จักยังไม่ลงโทษนักเรียนด้วยวิธีการนี้เลย
เป็นได้ว่าที่ยังเห็นครูลงโทษนักเรียนด้วยวิธีรุนแรง ใช้อำนาจนิยมในการปกครองนักเรียน อาจจะเป็นเพราะครูหลงผิดคิดว่าตนเองมีความรู้เหนือนักเรียน จึงคิดว่าตนเองมีอำนาจอยู่เหนือกว่า ทั้งๆ การที่นักเรียนไม่เข้าใจในสิ่งที่เขากำลังเรียนอยู่นั้นไม่ใช่ความผิดของเขาเลย เขาไม่เข้าใจเพราะเขาไม่ได้รู้มาก่อนเหมือนเรา หลายคนสมัยเรียนในโรงเรียนไม่เข้าใจเนื้อหา แต่พอเข้าเรียนระดับมหาวิทยาลัยได้ กลับมีความรู้เรื่องนั้นมากกว่าครูด้วยซ้ำ ดังนั้นมันจึงเป็นหน้าที่ของคุณครูที่ต้องทำให้พวกเขาเข้าใจด้วยเทคนิคและวิธีการต่างๆ ของครูผู้สอน ซึ่งเราเห็นได้จากครูยุคใหม่ที่มีความพยายามเป็นอย่างมากเพื่อนักเรียน
มากไปกว่านั้นผมคิดว่าอาจเป็นเพราะสังคมไทยถูกปลูกฝังด้วยภาษิตที่ว่า "รักวัวให้ผูกรักลูกให้ตี" และมายาคติที่ว่า "ไม้เรียวสร้างคน" จึงทำให้ครูหัวโบราณเหล่านี้ลงโทษนักเรียนด้วยวิธีการใช้อำนาจนิยมดังกล่าว
ผมเองก็เติบโตมากับไม้เรียว แต่ที่ผมมีทุกวันนี้นั้นไม่ใช่เพราะครูที่ใช้ไม้เรียว แต่เป็นครูที่มีความเมตตา ใช้เหตุผล ดูแลเอาใจใส่ ให้ความหวัง สอนด้วยความรักต่างหาก
ตั้งแต่เข้ามาสู่วงการการศึกษา ผมอ่านหนังสือที่เกี่ยวกับจิตวิทยาการสอนและการดูแลนักเรียนต่างๆ ยิ่งพบว่าวิธีการรุนแรงต่างๆ ที่ทำร้ายร่างกายและจิตใจนั้น ไม่ได้ส่งผลดี ตรงกันข้ามอาจจะส่งผลเสียด้วยซ้ำ ดังนั้นวิธีการที่ผมลงโทษนักเรียน หากสอบถามแล้วพบว่าผิดจริง เราต้องสอนว่าสิ่งใดผิดสิ่งใดถูกให้เขารู้ จากประสบการณ์พบว่านักเรียนยังไม่รู้ว่าสิ่งที่ตนกระทำนั้นกระทบความรู้สึกต่อผู้อื่นอย่างไร เราจึงต้องสอนให้เขาเข้าใจและจากนั้นจึงกลายเป็นความสำนึกต่อสิ่งที่กระทำ หากว่านักเรียนเกิดความสำนึกที่แท้จริง เข้าจึงเรียนรู้ว่าสิ่งใดควรทำและไม่ควรทำต่อไป ไม่จำเป็นต้องดุด่าด้วยถ้อยคำรุนแรง ไม่ต้องทรมานร่างกายนักเรียนให้หลาบจำ ทำเพียงแค่พูดคุยและเข้าใจ เมื่อเด็กสำนึกนักเรียนจะยอมชดใช้สังคมเพื่อแสดงความรับผิดชอบ
สำหรับการลงโทษที่ครูโจโจ้เห็นด้วย คือการกักบริเวณ ในช่วงเย็นเพื่อให้เขาสำนึกในความผิด และอาจจะใช้เวลานี้ให้เขาชดใช้สังคม ส่วนถ้าเป็นการวิ่งเพื่อลงโทษนั้น ควรยึดหลักให้เขาวิ่งเพื่อส่งเสริมสุขภาพที่ดี เมื่อสุขภาพที่ดีจะส่งผลให้สภาพจิตใจและอารมณ์ที่ดีขึ้น ควรให้วิ่งเหยาะๆ หรือวิ่งจ็อกกิ้ง ด้วยระยะทางที่เหมาะสม ให้โอกาสเขาพักระหว่างทางได้ แต่ต้องทำให้ครบเป้าหมาย แบบนี้ผมรับได้ ไม่ใช่การวิ่งที่หนักราวกับนั่งวิ่งทีมชาติ ทั้งๆ ที่เขาไม่ได้เป็นนักกีฬา แบบนี้มันคือการกลั่นแกล้งนักเรียนมากกว่าการลงโทษเพื่อส่งเสริมนักเรียน
ครูโจโจ้
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น