มองเด็กขายพวงมาลัย กับความรู้สึกที่ปวดร้าว



อยากเล่าอะไรหน่อย เพราะภาพและความรู้สึกนั้นยังติดอยู่เลย
เรื่องคือว่าเย็นวันนี้ไปกินข้าวกับเพื่อนที่ร้านอาหาร มันก็เป็นธรรมดาที่บางร้านเขาก็ให้เด็กขายพวงมาลัยเดินเข้ามาอ้อนวอนตามโต๊ะลูกค้า มันเป็นภาพที่ชินตาไปแล้ว และผมเองก็บอกปฏิเสธจนเป็นเรื่องปกติไปแล้ว 

ซึ่งในวันนี้ก็เช่นกัน จริงๆ ก็เห็นเด็กคนหนึ่งถือพวงมาลัยมาแต่ไกลแล้วล่ะ เพราะเรานั่งใกล้กับประตู ก็ทำเป็นไม่เห็นซะ จากนั้นในขณะที่เรากำลังพูดคุยกันอยู่ ปลายสายตาก็มองเห็นเด็กตัวเล็กๆ หัวเกรียนๆ แบบสกินเฮเเดินเข้ามา พวกเราก็คุยกันต่อ ทำเป็นมองไม่เห็น ไม่สนใจ แต่แทนที่เด็กจะเดินจากไป ก็ยังยืนอยู่ข้างๆ ที่เห็นจากปลายสายตา ก็เลยตัดสินใจหันไปมองหน้าเพื่อส่งสัญญาณว่าเราไม่ซื้อ แต่พอเห็นหน้าที่เด็กคนนี้เมื่อโดนปฏิเสธ เป็นใบหน้าของเด็กผู้ชายตัวน้อยๆ ที่ผิดหวัง ปนกับหมดหวังกับการขายพวงมาลัยให้กับโต๊ะนี้ ใบหน้าและดวงตาที่สดใสมันค่อยๆ เจื่อนไป ยิ้มที่ตั้งใจและพยายามโน้มน้าวให้เราซื้อพวงมาลัย ก็กลายเป็นยิ้มที่ไม่เต็มใบหน้าเหมือนตอนแรก จนเห็นฟันบนซี่หน้าใหญ่ๆ และห่างจากกัน ก็น่าจะเป็นฟันแท้ที่เพิ่งขึ้นมาได้ซักระยะหนึ่งแล้ว

ยิ้มที่ไม่เต็มใบหน้ากับสายตาที่สิ้นหวัง และก็เดินถอยไป ภาพนี้ติดตาจริงๆ
จากนั้นผมก็แอบมองเด็กคนนั้นเป็นระยะๆ เมื่อเขาไปขายพวงมาลัยที่โต๊ะอื่นๆ สิ่งที่ผมไม่ได้เห็นในตอนแรกคือ เด็กคนนี้จะเริ่มด้วยการโค้งไหว้แบบหน้าแทบจะลงดินเลยทีเดียว จากนั้นก็จะยื่นพวงมาลัยพร้อมกับพูดโน้มน้าวให้คนซื้อ และก็เดินไปทำอย่างนี้จนครบทุกโต๊ะ ซึ่งเท่าที่ผมสังเกต เห็นมีอยู่โต๊ะเดียวเท่านั้นที่เด็กคนนี้ขายพวงมาลัยได้

ในใจผมขณะนั้นก็เกิดแง่คิด ว่าคนเราส่วนมากต่างไม่ชอบถูกปฏิเสธ แม้เราจะเข้าใจว่ามันเป็นเรื่องธรรมดาที่ต้องโดนบ้างอยู่แล้ว แต่เราก็เลือกที่จะเลี่ยงเพื่อเผชิญกับมันมากกว่า ในทำนองเดียวกัน เด็กตัวแค่นี้ กลับต้องมาเรียนรู้และเผชิญกับการปฏิเสธที่หลากหลาย และวันละหลายๆ ครั้ง มีทั้งแบบโดนเพิกเฉยเหมือนไร้ตัวตน การปฏิเสธทันทีโดยที่ยังไม่ได้พูดซักคำ บางทีก็อาจเจอคนอารมณ์ร้อนชักสีหน้าหรือแม้แต่ตวาดใส่ก็คงเคยเจอ ผมนับถือหัวใจของเด็กคนนี้จริงๆ

ผมเชื่อว่าที่เราเจอบางร้าน เด็กที่พูดมาเป็นแพทเทิร์นแบบหน้านิ่งๆ มา พอถูกปฏิเสธก็หน้านิ่งๆ กลับ ก็น่าจะเป็นเด็กที่ชินกับการปฏิเสธไปแล้ว แต่สำหรับเด็กคนนี้น่าจะเป็นมือใหม่
ณ เวลานั้นในใจผมก็ลังเล ใจหนึ่ง ก็เอ็นดูสงสาร อยากช่วย เผื่อว่าสิบบาทยี่สิบบาทมันคงเป็นค่าอาหารของเขา แต่อีกใจหนึ่งก็จงเกลียดจงชังพ่อแม่ของเด็ก ที่ใช้ลูกตัวเองเป็นเครื่องมือหากิน ปล่อยให้เด็กต้องโดนปฏิเสธแบบนี้ ขณะที่ตัวเองเพียงขี่รถมาส่งแล้วจอดรออยู่ข้างนอก ปล่อยให้เด็กต้องบากหน้าซ้ำแล้วซ้ำเล่า ช่างเห็นแก่ตัวที่สุด

สุดท้ายผมเลือกที่จะไม่สนับสนุน และมองดูเด็กคนนั้นเดินออกจากร้านไป ด้วยหัวใจลึกๆที่สลดกับความโชคร้ายของเด็กคนนี้ที่เลือกเกิดกับพ่อแม่ที่ดีๆ ไม่ได้ และความเหลื่อมล้ำทางสังคม ที่ทำคิดถึงท่อนหนึ่งของเพลงคำเมืองขึ้นมาว่า "คนตุ๊กก่ตุ๊กแต้เนอ บ่มีสิ่งอันใดเลย ..." 


ครูโจโจ้

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Sport Day หรือ Sports Day?

Organizing : Topic, Supporting และ Concluding Sentences

เด็กปีหนึ่งใช้ "Freshman" หรือ "Freshmen" ???