10 วิธีสร้างลูกให้ฉลาด และ มีความสุข
จากเว็บไซต์ Time.com ได้นำเสนอ 10 วิธีสำหรับพ่อแม่ในการเลี้ยงดูลูกรัก ให้เติบโตเป็นเด็กฉลาดและมีความสุข ดังนี้
การออกกำลังกายเป็นประจำเพียง 3 เดือน ช่วยเพิ่มการไหลเวียนของเลือดไปเลี้ยงยังส่วนสมองในด้านความจำและการเรียนรู้ถึง 30% และพบว่าปริมาณเส้นเลือดฝอยของสมองส่วน hippocampus เพิ่มขึ้นถึง 30% อีกด้วย
น้ำตาล และ คาเฟอีน (caffeine แท้จริงแล้วภาษาอังกฤษออกเสียงว่า "แคฟีน") เช่นพวกน้ำโคล่า จากงานวิจัยพบว่าสามารถเป็นตัวกระตุ้นการทำงานของสมองได้ เพียงแต่ว่าเด็กๆ มักจะบริโภคสิ่งเหล่านี้ตลอดเวลา และไม่ได้เป็นไปเพื่อการเรียนหนังสือ จึงทำให้ส่งผลเสียต่อสุขภาพ
ดังนั้นถ้าลูกๆ ของคุณชอบกินลูกอมหรือน้ำอัดลม บางทีลองให้เป็นรางวัลพวกเขาในขณะที่กำลังอ่านหนังสือ ดีกว่าให้ตอนที่พวกเขากำลังดูทีวี
การอาศัยอยู่ในละแวกเพื่อนบ้านที่ดี เรียนโรงเรียนที่ดี (solid schools) และ มั่นใจว่าลูกของเรานั้นพบปะกับเพื่อนๆ ที่ดีเหมือนกัน เหล่านี้ส่งผลที่สำคัญต่อพฤติกรรมของเด็ก
มีงานวิจัยของนักเรียนที่ Dartmouth College ที่แสดงให้เห็นถึงอิทธิพลที่สำคัญของการคบเพื่อน โดยให้นักเรียนที่มีผลการเรียนเฉลี่ยนในระดับอ่อน ร่วมเรียนห้องเดียวกับนักเรียนที่มีผลการเรียนเฉลี่ยที่มีระดับดี พบกว่าผลการเรียนเฉลี่ยของกลุ่มอ่อนนั้นเพิ่มขึ้น ซึ่งนักวิจัยได้กล่าว่า ผลที่ปรากฏออกมานั้นราวกับเป็นการแพร่เชื้อ ทั้งดีและไม่ดีต่อพฤติกรรมทางด้านการเรียน ดังเช่นกับการที่เด็กเก่งจะช่วยดึง GPA เด็กอ่อนที่เป็นเพื่อนของเขาให้สูงขึ้น
สุดท้ายนี้ สิ่งสำคัญที่ทุกคนต้องทำความเข้าใจมากกว่านั่นก็คือ ความฉลาดนั้นไม่ได้เป็นทุกๆ สิ่ง การปราศจากจริยธรรมและความเข้าใจผู้อื่นนั้นสำคัญมากกว่า เพราะคนที่ฉลาดจริงๆ ก็สามารถกลายเป็นบุคคลน่ากลัวได้ หากขาดสองสิ่งที่กล่าวมา
ที่มาของข้อมูล
http://time.com/12086/how-to-make-your-kids-smarter-10-steps-backed-by-science/
http://news.voicetv.co.th/viral/117166.html
1. ส่งเสริมด้านดนตรี
มีงานวิจัยพบว่ากลุ่มเด็กที่มีทักษะทางดนตรี มีผลลัพธ์ทาง IQ ที่เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจนในรอบด้าน รวมไปถึงด้านวิชาการต่างๆ ด้วย ซึ่งแท้จริงแล้วการเรียนรู้ด้านดนตรีนั้นมีผลต่อทุกวัย ยิ่งสำหรับผู้ใหญ่พบว่าดนตรีสามารถชะลอโรคภัยไข้เจ็บของผู้สูงอายุได้อีกด้วย2. ทั้งเรียนทั้งเล่นกีฬาให้เด่นพอๆ กัน
การเป็นเด็กนักกีฬาเพียงอย่างเดียวอาจไม่เอื้อต่อทางด้านวิชาการมากนัก เพราะเด็กเหล่านั้นต้องทุ่มเทเวลาไปเพื่อลงแข่งในสนาม มากกว่าการนั่งอยู่ในห้องสมุด ซึ่งเป็นหน้าที่ที่พ่อแม่ต้องทำให้ลูกๆ นั้นอุทิศตัวเอง ให้กับกีฬาและการเรียนโดยควบคู่กัน การมีรูปร่างที่ดีจากการออกกำลังกายสามารถเพิ่มประสิทธิภาพทางการเรียนได้ ซึ่งมีนักวิจัยชาวเยอรมันสนับสนุนทฤษฏีนี้ โดยพบว่ามันทำให้เราสามารถเรียนรู้คำศัพท์ใหม่ได้รวดเร็วเพิ่มขึ้น 20% โดยเทียบจากผลหลังสอบและก่อนสอบ ซึ่งสัมพันธ์ต่อการเพิ่มขึ้นของสาร BDNF (brain-derived neurotrophic factor) เป็นโปรตีนที่เป็นอาหารของเซลล์ประสาทสมองอีกด้วยการออกกำลังกายเป็นประจำเพียง 3 เดือน ช่วยเพิ่มการไหลเวียนของเลือดไปเลี้ยงยังส่วนสมองในด้านความจำและการเรียนรู้ถึง 30% และพบว่าปริมาณเส้นเลือดฝอยของสมองส่วน hippocampus เพิ่มขึ้นถึง 30% อีกด้วย
3. อ่านหนังสือร่วมกับลูกๆ
อย่าปล่อยให้ลูกๆ ได้แต่จ้องเพียงรูปภาพในขณะที่คุณอ่านนิทานให้พวกเขาฟัง ให้ดึงความสนใจให้ไปที่ตัวอักษรด้วย คือการแชร์หนังสือให้อ่านร่วมกัน ไม่ใช่เพียงแค่อ่านให้ลูกๆ ฟังเพียงอย่างเดียว วิธีนี้สามารถช่วยสร้างทักษะในการอ่านสำหรับลูกๆ ของคุณ แม้จะเป็นเด็กหัวอ่อนก็สามารถเป็นหนอนหนังสือได้เลยทีเดียว4. ผลการเรียนอ่อนเพราะพ่อแม่ปล่อยให้ลูกนอนน้อย
สำหรับเด็ก การนอนน้อยกว่าเวลานอนของเด็กทั่วไปเพียง 1 ชั่วโมง ก็สามารถเปลี่ยนสมองของเด็ก ป.6 เป็นสมองของเด็ก ป.4 ได้เลยทีเดียว มีงานวิจัยที่แสดงความสัมพันธ์ระหว่างเกรดกับการนอนหลับที่เพียงพอดังนี้ วัยรุ่นที่เรียนได้เกรด 4 จะนอนพักผ่อนมากกว่านักเรียนที่ได้เกรด 3 โดยเฉลี่ยประมาณ 15 นาที ซึ่งนักเรียนที่ได้เกรด 2 ก็นอนน้อยกว่านักเรียนที่ได้เกรด 3 ประมาณ 15 นาทีโดยเฉลี่ย เป็นต้น5. มี IQ ก็ไร้ค่า หากว่าลูกไร้วินัย
มีรายงานทางการศึกษามากมายชี้ว่า ความมุ่งมั่นตั้งใจ (willpower) เป็นหัวใจความสำเร็จของแต่ละบุคคล นักเรียนที่ใช้ความพยายามสูงต่อความมุ่งมั่นนั้น มีแนวโน้มที่จะได้รับผลการเรียนในชั้นเรียนที่ดี และส่งผลต่อการศึกษาต่อตามที่ตนต้องการได้ พฤติกรรมที่ไม่ค่อยขาดเรียน และ ใช้เวลาไปกับการทำการบ้านมากกว่าการนั่งดูโทรทัศน์ เป็นวินัยในตนเองที่สามารถกำหนดอนาคตของตัวผู้เรียน ซึ่ง IQ ดิบๆ เพียงอย่างเดียวไม่สามารถทำได้6. การศึกษาที่แท้จริงต้อง Active ไม่ใช่ Passive
มีงานวิจัยพบว่าเด็กอายุประมาณ 1 - 2 ขวบ ที่ดู DVD ที่เหมาะสมกับวัยเป็นประจำทุกวัน วันละ 1 ชั่วโมง เมื่อเทียบกับเด็กที่ไม่ได้ดู แล้วพบว่ามีความเข้าใจต่อคำศัพท์ที่น้อยกว่าราวๆ 6 - 8 คำโดยเฉลี่ย เหตุเพราะสมองของมนุษย์ พัฒนาจากการเรียนรู้ในการลงมือทำ ไม่ใช่เพียงแค่การนั่งฟังเนื้อหา7. การให้รางวัลเป็นสิ่งที่ดี เมื่อให้ในเวลาที่ควร
ที่สำคัญคือ มันจะดีมากถ้าหากว่ารางวัลที่ให้เป็นสิ่งที่ดีต่อสุขภาพของเด็กๆ เพราะการกิน ส่งผลต่อผลการเรียนของเด็กอีกด้วย มีงานวิจัยได้ทดลองความตั้งใจเรียนและความรวดเร็วในการคิดของนักเรียน 16 คน โดยให้กินอาหารจำพวกไขมันสูง คาร์โบไฮเดรตต่ำ เน้น เนื้อ ไข่ ชีส และ ครีม จากนั้นทดสอบอีกครั้ง ผลปรากฏออกมาคือ คือช้าลงน้ำตาล และ คาเฟอีน (caffeine แท้จริงแล้วภาษาอังกฤษออกเสียงว่า "แคฟีน") เช่นพวกน้ำโคล่า จากงานวิจัยพบว่าสามารถเป็นตัวกระตุ้นการทำงานของสมองได้ เพียงแต่ว่าเด็กๆ มักจะบริโภคสิ่งเหล่านี้ตลอดเวลา และไม่ได้เป็นไปเพื่อการเรียนหนังสือ จึงทำให้ส่งผลเสียต่อสุขภาพ
ดังนั้นถ้าลูกๆ ของคุณชอบกินลูกอมหรือน้ำอัดลม บางทีลองให้เป็นรางวัลพวกเขาในขณะที่กำลังอ่านหนังสือ ดีกว่าให้ตอนที่พวกเขากำลังดูทีวี
8. ความสุข = ความสำเร็จของเด็ก
เด็กที่มีความสุขนั้นมีแนวโน้มที่จะเปลี่ยนมันให้กลายเป็นความสำเร็จในวัยเติบใหญ่ และอะไรคือสิ่งแรกที่เราจะสร้างให้พวกเขาเป็นเด็กที่มีความสุขได้นั้น นั่นก็คือการเป็นพ่อแม่ที่มีความสุขนั่นเอง9. การคบเพื่อน
กรรมพันธุ์ของคุณและกรรมพันธุ์ของคนรักนั้นมีผลต่อลูกๆ อย่างยิ่ง แต่วิธีในการสร้างศักยภาพในตัวลูกก็ส่งผลไม่ต่างกัน เพราะสิ่งที่มีผลที่สำคัญต่อพฤติกรรมของลูกๆ นั้นก็คือ กลุ่มเพื่อนของเขา เรามักจะพูดถึงอิทธิพลจากคนรอบข้าง (peer pressure) ในเชิงลบมากกว่าข้อดีของมันการอาศัยอยู่ในละแวกเพื่อนบ้านที่ดี เรียนโรงเรียนที่ดี (solid schools) และ มั่นใจว่าลูกของเรานั้นพบปะกับเพื่อนๆ ที่ดีเหมือนกัน เหล่านี้ส่งผลที่สำคัญต่อพฤติกรรมของเด็ก
มีงานวิจัยของนักเรียนที่ Dartmouth College ที่แสดงให้เห็นถึงอิทธิพลที่สำคัญของการคบเพื่อน โดยให้นักเรียนที่มีผลการเรียนเฉลี่ยนในระดับอ่อน ร่วมเรียนห้องเดียวกับนักเรียนที่มีผลการเรียนเฉลี่ยที่มีระดับดี พบกว่าผลการเรียนเฉลี่ยของกลุ่มอ่อนนั้นเพิ่มขึ้น ซึ่งนักวิจัยได้กล่าว่า ผลที่ปรากฏออกมานั้นราวกับเป็นการแพร่เชื้อ ทั้งดีและไม่ดีต่อพฤติกรรมทางด้านการเรียน ดังเช่นกับการที่เด็กเก่งจะช่วยดึง GPA เด็กอ่อนที่เป็นเพื่อนของเขาให้สูงขึ้น
10. จงเชื่อในตัวพวกเขา
การเชื่อมั่นว่าพวกเขาฉลาดนั้นส่งผลที่สำคัญมากในทุกรอบด้าน จากการทดลอง เมื่อคุณครูยกย่องเด็กกลุ่มหนึ่งว่าเป็นเด็กฉลาด โดยเรียกว่า "นักลมกรดวิชาการ" (academic spurters) เด็กเหล่านั้นก็จะยิ่งพัฒนามากขึ้น ทั้งที่ความจริง เด็กกลุ่มที่นำมาทดลองนั้นมาจากการสุ่มเลือกสุดท้ายนี้ สิ่งสำคัญที่ทุกคนต้องทำความเข้าใจมากกว่านั่นก็คือ ความฉลาดนั้นไม่ได้เป็นทุกๆ สิ่ง การปราศจากจริยธรรมและความเข้าใจผู้อื่นนั้นสำคัญมากกว่า เพราะคนที่ฉลาดจริงๆ ก็สามารถกลายเป็นบุคคลน่ากลัวได้ หากขาดสองสิ่งที่กล่าวมา
ที่มาของข้อมูล
http://time.com/12086/how-to-make-your-kids-smarter-10-steps-backed-by-science/
http://news.voicetv.co.th/viral/117166.html
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น