หลุมพรางอุปสรรคก่อนสอบ ที่ต้องเอาชนะ!!


เมื่อพูดถึงอุปสรรค .. เราเปรียบได้เป็นดั่ง "มารผจญ"
แต่เมื่อ "มารไม่มี .. บารมีไม่เกิด"
หากเราเพียงมีสติและอดทน ..
มารที่ไหนก็แพ้ภัยมลายสิ้น ..

มารผจญต่าง ๆ มาทั้งที่รู้ตัวและอาจไม่รู้ตัว
ต่อไปนี้คือสิ่งที่ทำให้หลายคนอาจจะต้องเสียเวลา
และคว้าฝันไปไม่ถึงฝั่งได้



1. รอพร้อม .. แล้วค่อยเริ่ม

อันนี้ก็ขอเป็นประเด็นแรกเลย
ที่หลายๆ คนจะสลัดความขี้เกียจแล้วเริ่มเปิดหนังสือหน้าแรกอ่านเสียที
กว่าจะอ่านก็มักจะอ้างโน่นอ้างนี่ "วันนี้เหนื่อย .. พรุ่งนี้ค่อยอ่านแล้วกัน" หรือบางคนก็บอกว่า "เดี๋ยวจะอ่านซักตอน 2 ทุ่ม"..   พอถึงเวลาละครเข้า!! "เดี๋ยวก่อนดูจบแล้วค่อยอ่าน" .. อ่าววว
พอถึงเวลาละครจบ "เฮ้อ .. ไม่ไหวละ หนักหัวเหลือเกินวันนี้ .. เดี๋ยววันพรุ่งนี้จะอ่านจริงๆ ละ"

มีแต่คำว่า  "เดี๋ยวจะ" กับ "เดี๋ยวๆๆ" อยู่นั่นแหล่ะ .. ไม่ได้ทำซักที
ก็ผลัดวันไปเรื่อย .. แล้วเมื่อไหร่มันจะเริ่ม!!
เปลี่ยนจากคำว่า "เดี๋ยวจะ" ให้เป็นคำว่า "ต้อง!!" จะได้ไหม???
"คืนนี้เวลา 2 ทุ่ม ต้องอ่านหนังสือ" ไม่มีข้อแม้เป็นเด็ดขาด
เพียงแค่นี้ .. การเริ่มต้นที่ดี ก็มีชัยไปกว่าครึ่งแล้วครับ .. อย่ามัวแต่รอ!!


"ม้วนกระดาษทิชชู่บางๆ แม้แผ่นแรกมันจะแกะยากซักนิดนึง
แต่ถ้าเมื่อเราแกะมันได้ ทิชชู่ก็จะใช้ได้งานได้ง่ายฉันใด
การเริ่มต้นที่ดีแม้จะยากซักนิด แต่ถ้าจุดเริ่มต้นทำสำเร็จแล้ว
การกระทำในวันต่อๆ ไปก็จะไหลลื่นง่ายดายฉันนั้น"


2.เป้าหมายเพี้ยน!!!

มีนักเรียนอยู่จำนวนไม่น้อย ที่ยังหาคำตอบของชีวิตไม่เจอ ว่าอนาคตจะเป็นอะไร??
แต่เป็นธรรมดาถ้าหากคำถามนี้เกิดขึ้นในตอนเป็นนักเรียน ม.ปลาย ใหม่ๆ
เพราะยังมีเวลาคิด และหาข้อมูลได้เต็มที่ ว่าอาชีพที่เราอยากเป็นต้องเรียนคณะอะไร
หรือเมื่อจบจากคณะนี้จะสามารถมีอาชีพอะไรได้บ้าง .. ชอบหรือไม่ชอบอย่างไร
แต่หากมัวแต่คิด .. ไม่รีบตัดสินใจ จนถึง ม. 6 ล่ะก้อ ... ลำบากแน่!!!
ยิ่งบางคนมีเป้าหมาย แต่ก็เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาตลอด ..

ประเด็นสำคัญที่เปลี่ยนใจไปๆ มาๆ ส่วนมากก็เกิดจากการเลือกคณะตามเพื่อน!! (เป็น fashion)
โดยไม่ประมาณตนเล๊ย .. ว่าเหมาะหรือไม่เหมาะกับคณะที่เรียนอย่างไร
บางคนอ่อนวิชาคำนวนอย่างแรง!!! ... แต่ก็ดันทุรังเลือกคณะวิศวะ เพราะเพื่อนนิยมกัน
โดยที่ไม่ศึกษาข้อมูลเลยว่า .. ถึงจะติดขึ้นมา แต่ตัววิชาที่เกี่ยวกับคำนวนนั้น เพียบ!!!
ถึงสอบได้ .. แต่ถ้าเรียนไม่ไหว มหาวิทยาลัยเขาก็ไทร์ (retired) ได้เหมือนกัน !!!
แต่ก็คงไม่โชคดีอย่างนั้น ... เพราะว่ามัวแต่ลังเล .. คิดไปคิดมา ... สับสนอยู่นั่น
ขนาดถึงเวลาใกล้สอบอีก 3 เดือน .. ยังเปลี่ยนคณะที่ตนตั้งเป้าหมายไว้กระทันหันเลย!!
แบบนี้นะครับ ... โอกาสติดยาก!!!

เพราะคนที่เขามีเป้าหมายชัด ... การกระทำเขาก็จะชัด!!
แต่คนที่เป้าหมายเพี้ยน!! ... ความชัดเจนที่จะสอบติด
ก็จะเพี้ยนตาม!!



3.สุดที่รักของฉัน

แหม .. พอพูดถึงเรื่องนี้หลายๆ คนก็คงเคลิ้มแบบตาหวานหยาดเยิ้มกันเลยทีเดียว
แต่เดี๋ยวก่อน !!!! .... แม้ความรักจะเป็นสิ่งที่สวยงาม .. แต่ถ้ารักไม่เป็นเวลามันเท่ากับ งมงาย!!!
มนุษย์เราเป็นคนติดของหวาน .. พอมีความรักทุกอย่างมันก็หวานซะไปหมด
จนบางคนติดความหวานซะงอมแงม จนไม่สามารถห่างจากความรักไปได้ .. แหมมม ..

ถ้ารักกัน .. แล้วช่วยเหลือกัน ตักเตือนกัน หรือพากันไปอ่านหนังสือ ..
แบบนี้ไม่ว่า จะสนับสนุนให้รักกันไปเล๊ย
แต่ถ้ารักกันแล้วต้องมาเสียการเรียน .. เสียเวลาอ่านหนังสือ หรือฉุดเวลาติวแบบนี้ .. ไม่ไหวมั้ง?
ตัวอย่างแบบนี้หลายๆ คนอาจจะเผชิญอยู่ ...
  • ต้องโทรรายงานทุก ๆ  1 ชั่วโมง !!
  • ตอน 4 - 5 ทุ่มต้องโทรหาทุกๆ คืน !!! (เวลาอ่านหนังสือที่สงบด้วยซะนี่)
  • ไปเรียนพิเศษต้องไปรับไปส่ง หรือต้องไปเรียนที่เดียวกัน !!
    (แฟนเรียนสายศิลป์แล้วตัวเองเรียนสายวิทย์เนี่ยนะ?)
  • คิดถึงกันที่เรียนพิเศษก็ BB หากันหน่อย !! (คงมีเวลาเรียนแหล่ะ)
  • เสาร์-อาทิตย์ ต้องพาไปเดินห้าง ดูหนัง กินข้าวด้วยกัน !!! (จะสอบแล้วนะะะ)
  • นั่งเรียนพิเศษกับสาวไม่ได้ .. มีเรื่อง!!! (โทรศัพท์เคลียร์กันทั้งคืน แล้วต้องง้ออีกทั้งวัน)
  • ฯลฯ ... ที่มีแต่ปัญหาปวดหัว ขัดขวางสมาธิในการทบทวนเนื้อหาในการสอบ
ถ้าแบบนี้ ... ห่างกันดีกว่าเถอะ!!!
อย่าฝืน .. อย่าไปทน ถ้ารักกันจริงต้องไม่ขัดขวางอนาคตของกันและกัน
แต่ต้องเข้าใจซึ่งกันและกันต่างหาก
ถ้าหากใครเผชิญกับปัญหานี้อยู่ให้หันหน้าแล้วเอ่ยปากถามว่า "รักเค้าจริงมั้ย??"
"ถ้ารักเค้าจริง ต้องรอเค้าได้นะ ไว้รอสอบให้เรียบร้อยก่อนได้ป่ะ?"
ถ้าอีกฝ่ายตอบรอไม่ได้ .. ก็ห่างกันไปเถอะ!!! พวกขัดขวางอนาคต!!


"จงรักด้วยความเข้าใจ .. มิใช่สเน่หา หรือ งมงาย"



4. ซี้ย่ำปึ๊ก .. มาด้วยกันไปด้วยกัน

อันนี้ก็น่าเป็นห่วงเหมือนกันนะครับ สำหรับคนที่ไม่มีแฟน (หรือสนใจแฟนน้อยกว่าเพื่อน)
แต่ติดเพื่อนซะไม่ลืมหูลืมตาอีกเหมือนกัน .. เพื่อนบอกไปไหนไปกัน ไม่เคยปฏิเสธ
ก็เหมือนกับคำพังเพยที่ว่า "คบคนพาล พาลพาไปหาผิด .. คบบัณฑิต บัณฑิตพาไปหาผล"
ถ้าได้เพื่อนดี .. ก็คงนำพาไปในทางที่ดีๆ ไปเรียนพิเศษที่ดีๆ
พาไปอ่านหนังสือยามว่าง .. ช่วยกันติวให้กันและกัน
แบบนี้แหล่ะครับเรียกว่าเพื่อนบัณฑิต
แต่บังเอิญที่คบอยู่ .. แม้จะไม่ใช่เพื่อนพาล .. แต่เป็นเพื่อนขี้เกียจนิซิ
วันนี้คลายเครียด .. ชวนไปเที่ยว ไปเล่นเกมกันดีกว่าว่ะ ...
วันไหนฝนตกหน่อย .. ขี้เกียจไปเรียนพิเศษซะ
ด้วยความรักเพื่อน .. แถมกลัวเหงาอีกที่ไปคนเดียว .. ก็ไม่ไปด้วยกันซะ ..จบ!! (อนาคตจบทั้งคู่)

"อนาคตของเรา .. ต้องไม่ฝากไว้ที่ใคร
จมูกของเราต้องหายใจด้วยตัวเราเอง ..
อย่าไปเอาจมูกของใครมาหายใจ"




5. ละครหลังข่าว

ถ้าดูข่าวก็จะไม่ว่าซักกะคำ เพราะข้อสอบสังคมมักจะอยู่ในนั้นแหล่ะ
แต่กลับไปดูหลังข่าวเนี่ยสิ .. ละครช่องหลากสีทั้งหลายน่ะ .. ติดกันเหลือเกิน
หลายคนก็คงอ้างๆ กันว่า ... เครียดอ่ะ หาอะไรบันเทิงหน่อย ..
ถ้าละครหลังข่าวมั้นสั้นแบบการ์ตูนเรื่อง"เบิร์ดแลนด์แดนมหัศจรรย์" ล่ะก็จะไม่ว่า
แต่บางช่องมันล่อตั้งแต่ 2 ทุ่มยัน 4 ทุ่ม ... 2 ชั่วโมงหมดไปกับความไร้สาระ!!
พอวันนี้ได้ดู .. พรุ่งนี้ก็อยากดูอีก ชวนติดตาม .. ก็คงดูจนอวสานนั่นแหล่ะ
พอ 4 ทุ่ม .. ก็ปวดตาละ .. จะอ่านได้ซักเท่าไหร่กัน
บางคนยิ่งร้าย .. ดูรายการโปรดต่อ .. จบเที่ยงคืน
พอเที่ยงคืน .. ไม่ไหวขอพักสายตาหน่อย (ยาวไปถึงเช้าเลยทีนี้)

กรณีนี้ก็ไม่ต่างกับกรณีคนที่คิดจะผ่อนคลายด้วยการเล่นเกม หรือท่องโลก internet
แน่นอนครับ .. เกมน่ะมันส์ยิ่งกว่าดูละครอยู่แล้ว
ก็ทำให้เราใช้เวลาไปอย่างไร้ประโยชน์ไปมากกว่าอีกหลายเท่า!!
แต่ถ้าเรากำหนดเวลาเล่นเกมจริงๆ ไม่เกิน 30 นาที เพื่อผ่อนคลายสมองก่อนที่พร้อมอ่านหนังสือ
ถ้ามีวินัยในตนเองได้ .. ก็คงละเว้นกันได้ (แต่ส่วนใหญ่มักเพลินจนยาวเลยน่ะซิ)

เปลี่ยนเถอะครับ .. ทำให้อ่านหนังสือมันติดเหมือนเราติดละครบ้าง
เปลี่ยนเวลาละครของเรา เป็นเวลาอ่านหนังสือแทนจะดีกว่า
อยากอ่าน ๆๆๆ ไปเรื่อยๆ ทุกวัน .. เพราะเนื้อหาในหนังสือมันน่าติดตามเสียจริงๆ (คิดบวกแบบนี้)

"ทีดูละครทุกวันเรายังจำเนื้อเรื่องได้ ...
แล้วถ้าอ่านหนังสือทุกวันแบบนี้บ้าง ทำไมจะจำไม่ได้หล่ะ!?"




6. อ่านคนเดียวมันไม่เท่ห์ .. จะให้เก๋ต้องไปอยู่ที่คนเยอะ ๆ

อันนี้ก็อีกหนึ่งหลุมพรางคล้ายๆ กับ "ซี้ย่ำปึ๊ก มาด้วยกันไปด้วยกัน"
อ่านคนเดียวมันเหงา .. มันวังเวง .. มันขี้เกียจ
หรือบางครั้งมันไม่เท่ห์ (เพราะที่จะไปน่ะมีสาวเยอะ)
ก็นัดกันไปอ่านตามสถานที่ที่เค้าไปกัน เช่นไปร้านกาแฟบ้าง (แก้วนึงก็เกือบร้อย)
ไปนั่งในห้างบ้าง ไปนั่งร้านโดนัทมียี่ห้อบ้าง หรือ
ไปนั่งคณะดังๆ ในมหาวิทยาลัยบ้าง เพราะบางคนอ้างว่าจะได้ซึมซับบรรยากาศแล้วจะได้ติดง่าย
.. เกี่ยวมั้ย??

การนัดกันไปอ่านหนังสือมันก็ดีอยู่ครับ
แล้วนัดไปอ่านนอกสถานที่เพราะเนื้อที่ที่ห้องไม่พอก็เป็นไปได้
แต่ไอ่ไปเพราะตามกระแส เห็นทีจะสวนกระแสกับคนที่ประสบความสำเร็จนะครับ
เพราะวัตถุประสงค์ที่ไปน่ะ ไม่ใช่ไปเพื่ออ่าน .. แต่เปลี่ยนบรรยากาศเพื่อไปดูสาวๆ (ใช่ป่ะล่ะ)
พอเห็นสาวสวยหนุ่มหล่อเดินผ่าน .. ก็สะกิดกัน  ทีนี้หล่ะ chatt กันยาวเลย ..

สถานที่ไม่ใช่ปัจจัยสำคัญ ... ใจที่มุ่งมั่นเท่านั้นสำคัญที่สุด!!


7. เรียนพิเศษที่แพงๆ ดังๆ .. เพราะยิ่งดัง ยิ่งแพง .. ยิ่งมีโอกาสสอบติด!?

ความเชื่อแบบนี้มันเป็นกระแส .. มันเป็นการเรียนพิเศษแบบ Fashion
ไปกันเพราะได้ไปบอกต่อเพื่อนๆ ว่าฉันได้เรียนสถาบันที่โน่น ที่นี่ ..
แต่ถามว่าความรู้กลับมาล่ะ .. แทบไม่มี!?

สถาบันชื่อดังใช่ว่าจะไม่ดีหรอกครับ .. แต่ต้องยอมรับให้ดีๆ ก่อนว่า
ยิ่งดัง .. คนที่มีความรู้พื้นฐานระดับปานกลางถึงเก่ง ย่อมมีจำนวนมากเช่นกัน
แล้วไอ่เราที่อ่อนๆ แบบนี้หล่ะ ??  คงได้นั่งเรียนพิเศษหลังห้องดังเดิม

แล้วพวกเรียนแบบ VDO นิยิ่งไปใหญ่เลย ..
ถ้าหัว bright ไม่พอ .. ก็อย่าริไปเรียนเลยครับ
นอกจากถ้าตามไม่ทันแค่หนึ่งนาที .. ต้องไปนั่งดูย้อนหลังใหม่
แถมถ้ามีคำถาม .. จะถามได้เร็วที่สุดได้วิธีไหนอ่ะ??? โทรหาสายตรงได้มั้ยหล่ะ??

ความจริงแล้วการเรียนพิเศษ ไม่ได้เป็นตัวชี้วัดว่าจะติดหรือไม่ติด
หากตั้งใจจริงตั้งแต่เริ่มต้น .. หาซื้อหนังสือแบบฝึกหัดย้อนหลังที่มีเฉลยดีๆ ละเอียดๆ มานั่งทำ
เรียนพิเศษก็กลายเป็นสิ่งสิ้นเปลืองไปเลยทันที
แต่ถ้าหากว่าต้องการความรวดเร็วในการสรุปเนื้อหา และเทคนิคพิเศษ
การเรียนพิเศษก็อาจจะช่วยได้แค่ในระดับหนึ่งเท่านั้น
ยิ่งดัง .. คนยิ่งมาก ยิ่งมีโอกาสน้อยที่จะเข้าถึงติวเตอร์ที่สอนนั้นได้
ที่คนน้อยๆ ก็ดีอย่าง .. มีอะไรจะได้ถามได้ตัวต่อตัวไปเลย
แต่ต้องพิจารณาอีกทีครับ .. ว่าทำไมคนถึงได้น้อย
แต่ให้จำไว้เสมอครับว่า ติวเตอร์ส่วนใหญ่ ถ้าเจ๋งไม่จริงไม่กล้ามาเป็นติวเตอร์หรอกครับ
จะจบสูงสักเท่าไหร่ .. แต่ถ่ายทอดกับเราคนละภาษา ต่อให้ดร. ก็สอนไม่รู้เรื่องหรอกครับ


"การเรียนรู้เทคนิคจากคนอื่น
ฤาจะสู้การสร้างเทคนิคใหม่ด้วยตนเอง"



สุดท้ายนี้ก็ขอให้นักเรียนตั้งใจในการขมักเขม้นกับการอ่านหนังสือ ติวข้อสอบย้อนหลัง
รักษาสุขภาพ .. และระมัดระวังเรื่องอุบัติเหตุ (ส่วนมากเกิดสาเหตุเกิดจากการนอนน้อย)
มีหลายคนครับที่สอบติดโดยไม่ต้องพึ่งติวเตอร์ .. และมีหลายคนเช่นกันที่หลงระเริงกับ"หลุมพราง"
จนมากเกินไป ... พอถึงเวลาก็ผิดหวังกันเป็นแถว

ทั้งนี้ทั้งนั้น .. มหาวิทยาลัยไม่ใช่คำตอบของชีวิต
มันเป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้นชีวิตใหม่ต่างหาก
มหาลัยไหนก็ได้ มันอยู่ที่ "ใจ" ที่รักดี
เมื่อเป็นคนรักดีเสียอย่าง.. จบจากสถาบันไหนๆ ก็ล้วนได้ดีกันทั้งนั้น
เมื่อรู้หลุมพรางแล้วล่ะก็ คราวนี้ลองคลิกกลับไปดูว่า "แนวทางพิชิต โควต้า" กันต่อได้เลยครับ

แต่จงจำไว้นะครับ

"ปริญญาใช่มีค่าที่สถาบัน .. ปริญญาใช่สำคัญในพิธีรีตอง"

ขอจงอย่าดูถูกกัน มีแต่"ใจ"เท่านั้น ที่วัดความมีคุณค่าของคน
ครูโจโจ้     

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Sport Day หรือ Sports Day?

เด็กปีหนึ่งใช้ "Freshman" หรือ "Freshmen" ???

Organizing : Topic, Supporting และ Concluding Sentences