พิชิต"โควตา มช" ด้วยแนวทางของครูโจโจ้

เริ่มนับเวลาถอยหลัง ..
เหล่านักรบข้อสอบโควตาทั้งหลาย ...
ก่อนที่พวกท่านจะเข้าสู่สนามรบ ...
อย่ามัวแต่มองคู่แข่งเป็นศัตรู ....
เพราะศัตรูที่แท้กลับอยู่ใกล้ตัวเราที่สุด ...
ศัตรูที่ว่าไม่ใช่ใครที่ไหน แต่คือ "ใจ" ของเรานั่นเอง ...


.....อย่างแรกครูก็ต้องขอเกริ่นถึงความหลังในเยาว์วัยของตนเองก่อน
ว่าความจริงแล้วสมัยคุณครูเป็นนักเรียนม.ปลายนั้น
ก็เป็นคนที่เรียนไม่เก่งซักเท่าไหร่เล๊ย ..  พอเอาตัวรอดได้
ก็เป็นเด็กติดเกม!! นี่นา ... ยังไม่พอแถมติดละครอีกต่างหาก ..
ทุกวันตอนเย็นหลังกลับจากที่โรงเรียนก็ต้องพุ่งไปที่ทีวีทันที
เปิดทีวี เปิดเครื่อง Play Staion II แล้วลงมือเล่นเกม จนแสบตา .. แทบทุกวัน
ยิ่งเสาร์-อาทิตย์นิไม่ต้องพูดถึงเลยครับ .. ยากมากที่จะออกไปเที่ยวนอกบ้าน
ผลการเรียนออกมาได้แค่ 2 นิดๆ ...

แล้วเมื่อวันหนึ่ง .. ทุกๆ คนพูดถึงเรื่องการสอบเข้ามหาวิทยาลัย
ต่างคนต่างมีเป้าหมายของตนเองที่ตั้งไว้
กว่าคุณครูจะค้นพบเป้าหมายของตนเอง ก็ใช้เวลาพอสมควรเช่นกัน ...

แต่ ... พอได้เป้าหมาย ก็มีความกดดันเกิดขึ้น..
เพราะเกรดเฉลี่ยที่มี มันมีแค่นิดเดียว!! จะไปสู้อะไรเค้าได้ ???

ในความคิดที่มืดมิด ที่เต็มไปด้วยปัญหา...
ย่อมมีแสงสว่างเพื่อให้ใช้ปัญญา ให้ผ่านพ้นปัญหานั้น ..

วันหนึ่งก็มีเพื่อนมาคุยในเรื่องการสอบ "โควตา" ...
เชื่อหรือไม่ครับ ว่านายโจโจ้ในสมัยนั้น ยังไม่รู้จัก???
ทำไงได้ล่ะครับ .. ก็เป็นเด็กติดเกมมาก่อน ไม่เคยสนใจสิ่งอื่นเลย
พอเพื่อนคนนั้นขยายความว่า ข้อสอบโควตาต่างกับข้อสอบเอนทรานซ์ ...
ตรงที่ข้อสอบโควตา "สอบตรง ไม่สนเกรด"
เท่านั้นแหล่ะ .. คือเป้าหมายที่ตัวคุณครูเองที่ต้องพิชิตให้ได้ !!!

เป้าหมายชัด ... การกระทำจึงเกิด
ระยะแรก .. ลำบากครับ เพราะยังตัดใจกับพฤติกรรมเดิมๆ ไม่ได้...
เมื่อเห็นเกมวางอยู่ ก็อดใจไม่ได้ ... ขอเล่นแก้เครียดหน่อยโว้ยย
และแล้ว .. กิจกรรมการเล่นเกมก็กินเวลาชั่วโมงมากกว่าการอ่านหนังสือของข้าพเจ้า..
เมื่อห้องมันเงียบ .. ก็เปิดทีวีเป็นเพื่อนซักหน่อย
และแล้ว .. พอละครออก ก็ดูละครจนจบ แถมต่อด้วยรายการรอบดึก
พอคิดจะอ่านหนังสืออีกทีก็ตอน 5 ทุ่ม .. โอยยย ไม่ไหวแล้วนอนดีกว่า
(แบบนี้มันจะติดเหรอเนี่ย??)

แก้ไข!!!
เป้าหมายชัด .. การกระทำก็ต้องชัด!!
แค่คิดทำ .. มันก็ได้แต่คิด แต่ถ้าจะเอาเสียอย่าง .. ไม่ต้องคิด ลุยลูกเดียว!!
ใจเท่านั้นที่ต้องเอาชนะ!!!

เห็นเกมวางอยู่แล้วอยากเล่นใช่มั้ย ..
ถอดปลั๊ก .. และส่วนประกอบทั้งหมด เพื่อให้ลำบากในการประกอบมาเล่น
แล้วก็ยัดใส่ถุงวางไว้บนตู้สูงๆ จะได้ไม่ต้องเห็นกัน .. และยากที่จะนำลงมา
พูดง่ายๆ ...เพราะถ้าอยากเล่น ก็หลายขั้นตอนกว่าจะยกลงมา แล้วก็กว่าประกอบอีก
คือให้มันรู้สึกขี้เกียจเล่นเกมไปเลย....มันอยู่ที่ใจ!!!

ห้องเงียบ .. จะเปิดทีวีเป็นเพื่อนใช่มั้ย??
งดออกสื่อบ้าง จะเป็นไรไป ..
ขนาดดารายัง งด ออกสื่อทางทีวี แล้วเราก็ งด ออกสื่่อเหมือนดาราบ้างซิ
ไม่ต้องกลัวว่าจะตกข่าวตกกระแส ... ก็ถ้า งด ออกสื่อเสียอย่างจะไปสนใจอีกทำไมหล่ะ
เปิดวิทยุซิ .. ช่วยให้หายแก้ปัญหาเรื่องความเงียบได้เลยนะ
ฟังบ้าง .. ไม่ฟังบ้าง .. แต่สายตาอยู่ที่ตำราตลอด (ต่างกันกับเปิดทีวี เพราะดูยาวเลย)
อีกทั้ง .. ฟังเพลงช้าๆ เช่นเพลงไทยสากลสมัยก่อน .. ทำให้สมองผ่อนคลายด้วยนะ
ดีเจ .. ก็ทำให้เราอบอุ่นเหมือนมีเพื่อนอยู่กับเราตลอดทั้งคืน
แค่นี้ .. ทีวีก็เลิกดูแล้วว .. มันอยู่ที่ใจ!!!

คราวนี้ก็มีเวลาที่่จะทบทวนเนื้อหา หรือ ตะลุยโจทย์ข้อสอบเพิ่มมากขึ้นเยอะเลย!!

จากนั้น .. กำหนดตารางอ่านหนังสือในแต่ละวัน
เพื่อสร้างวินัยในการทบทวนเนื้อหาบทเรียนในทุก ๆ วัน
เช่น .. กำหนดไปเลยว่าต้้งแต่ 2 ทุ่มเป็นต้นไปคือช่วงเวลาอ่านหนังสือ
แล้วต้องทำทุกวัน .. ทำประจำ จนมันกลายเป็นนิสัยใหม่ของเรา .. 
ตารางแต่ละวันก็ต้องมีเวลาพักสมองบ้าง .. เครียดมากสมองไม่ไหวนะเอ่อ ..
เช่น หลังจากเรียนพิเศษเสร็จ 1 ทุ่ม .. ช่วง 1 ทุ่ม - 2 ทุ่ม คือเวลาพักผ่อนสมอง
อาจจะอาบน้ำอาบท่า .. สวดมนต์ไหว้พระ ณ ช่วงเวลานั้น ก่อนที่จะถึงเวลาอ่าน
แต่ทุกอย่างต้องเสร็จ หรือทิ้งไว้ และเริ่มต้นอ่านทบทวนตำราตอน 2 ทุ่มตรงเป๊ะ!!
แต่ละวันก็ต้องกำหนดวิชาที่อ่านอย่างน้อย 1 วิชา
และแนะนำว่าไม่ควรเกิน 2 วิชา .. โลภมากมักไม่ดีนะจีะหนู สมองจะเบลอเอา
ใน 1 สัปดาห์ต้องมีครบทุกวิชาที่เราจะต้องใช้สอบ ..
วิชาไหนที่เรียนพิเศษมา ก็ลดเวลาหรือวันในการอ่านลงได้


เพราะการที่เราไปเรียนในกวดวิชา ก็ถือว่าเป็นการทบทวนเนื้อหาอีกแบบหนึ่งเหมือนกัน
มีการสรุปให้ .. เก็งข้อสอบให้ อย่างตรงประเด็นเป๊ะ!
เทคนิคครูโจโจ้คือ สมัยนั้นเป็นคนที่ไม่ชอบอ่านหนังสือมากๆ
พออ่านวิชาสังคม .. ภาษาไทยที่มีเนื้อหายากมากก็ท้อใจแล้วครับ
ครูก็เลยออกไปเรียนกวดวิชาให้หลายๆ ที่ ...
เช่นสังคมเรียน 3 ที่ .. ภาษาไทยเรียน 2 ที่
ถามว่าถ้าฟังครูสรุปให้ฟัง 3 ที่ 3 ครั้ง .. ไม่จำให้มันรู้ไป???
(แต่ขอเตือนว่า เหมาะสำหรับวิชาที่เป็นสายภาษานะ เช่นสังคม, ไทย, อังกฤษ เป็นต้น
และวิธีนี้ขอให้เป็นทางเลือกสุดท้ายนะครับ เพราะไม่สนับสนุนให้สิ้นเปลือง
การเรียนรู้ด้วยตนเองเป็นวิธีการที่ง่ายที่สุด ประหยัดที่สุด
และสอบติด 100% ... การเรียนพิเศษบางครั้งมันก็แค่แฟชั่น
หากมีข้อสงสัยหรือไม่ get อะไร .. ครูบาอาจารย์ที่อยู่ในโรงเรียน
ต่างพร้อมที่จะช่วยเหลือฟรี .. ไม่มีค่าใช้จ่ายนะจ๊ะ
เข้าไปถามบ้างซิ ...)

อย่างไรก็ตามถ้าเป็นวิชาคำนวน .. ต้องระวังในการเรียนพิเศษกับครูหลายคน
เพราะติวเตอร์แต่ละคนต่างมีเทคนิคคิดตีโจทย์หรือสูตรลัดเป็นของตนเอง
เมื่อเรียนกับติวเตอร์ที่หลากหลาย .. เทคนิคก็หลากหลายเช่นกัน
ทีนี้ล่ะ ... ถึงเวลาสอบจะใช้สูตรไหนดีล่ะเนี่ย ??? ตีกันไปหมดแล้ว!!
แต่ถ้าอ่านเองเยอะๆ .. จะมีเทคนิคเป็นของตนเอง
ไม่ต้องไปพึ่งใครให้เปลืองกะตังค์หรอกครับ...

อาวุธพร้อม!! ตอนอ่านหนังสือ
อ่านอย่างเดียวบางคนอาจจะไม่จำ
ต้องมีอาวุธสำคัญเป็นของคู่กายยามอ่านหนังสือเสมอ
ก็คือสมุด ดินสอ ปากกา และ ปากกา Highlight
ในขณะที่อ่าน .. ถ้าหากเจอข้อความที่สำคัญๆ ก็ Highlight เน้นๆ ไปเลย
จะสีไหนก็ได้ตามชอบ ... แต่มีงานวิจัยพบว่าสีเขียวเป็นสีที่สะดุดตาที่สุด
เวลากลับมาทบทวนก็ง่ายและประหยัดเวลาขึ้นเยอะ!!
แล้วเมื่ออ่านจบแล้ว ก็หาสมุดหรือกระดาษ reuse
เขียนสรุปในสิ่งที่เราเพิ่งอ่านจบไป อาจจะทำเป็น mind mapping ก็ยิ่งดี
เพราะการเขียนสรุปเป็น mind mapping จะสอดคล้องการทำงานของสมอง
ซึ่งช่วยทำให้เราสามารถจำได้ดีขึ้น !!
ยิ่ง mind mapping ของเรามีสีสัน .. ยิ่งทำให้สมองจดจำในสิ่งที่เราสรุป
เพิ่มขึ้นถึง 80%  เลยทีเดียว

วิชาไหนที่เน้น ..  ต้องจัดให้หนัก !!
อย่างเช่นคุณครูโจโจ้เลือกเรียนวิชาเอกสายภาษาอังกฤษ
จะต้องขยันอ่านว่าที่วิชาเอกเราให้เยอะๆ .. จนถึงเยอะที่สุด
คงรู้สึกแย่ .. หากว่าติดสายภาษาอังกฤษ แต่ดันได้คะแนนวิชาภาษาอังกฤษ 34 คะแนน!!
แบบนี้ไม่อายแย่เลยเหรอครับ .. หากว่าติดขึ้นมา แต่ดันอ่อนสาขาวิชาเอกที่เลือกไว้ ???
ดังนั้นก็ต้องเพิ่มตารางในการอ่านทบทวนหรือตะลุยโจทย์ภาษาอังกฤษให้มากขึ้นหน่อย
แต่ก็อย่าละเลยวิชาอื่น จัดให้ทุกวิชาให้หนัก อย่างเหมาะสมจะดีที่สุดครับ

มหาวิทยาลัยคืออนาคตของเราเอง .. ตัวเราเองคือคนกำหนดอนาคต
อย่าไปแคร์คนอื่นครับ .. เป้าหมายของเรา เราต้องเลือกเดินเอง
อุปสรรคก็มีเยอะมากมายครับ เค้ามาลองใจเราเรื่อยๆ
หากเรายอมในสิ่งที่มากดดันเรา .. เราก็คือผู้แพ้
แต่หากเราความกดดันนั้นมาเป็นพลัง .. เราจะได้พลังมหาศาล
ถ้าเราเอาชนะสิ่งเหล่านี้ได้ .. เราก็คือผู้ชนะ!!  อย่างงามสง่า ..

ต้องตัดสินใจตั้งแต่วันนี้ .. อย่ารอ!! อย่าว่าจะทำ แต่ ต้องทำ!!
อย่าคิดว่าตัวเองเรียนอยู่ม. 4 หรือ ม.5 ยังมีเวลาที่จะเตรียมตัวทัน
คิดผิดครับ !! คนที่ออก start ก่อน ย่อมมีสิทธิ์ถึงเส้นชัยก่อน
ถ้าเรามัว"รอ".. มัวแต่บอกว่า"จะทำโน่นทำนี้" .. บอกว่า "เดี๋ยวก่อน"
ระวังจะไม่ทัน !!!
เพราะคนที่วิ่งไปก่อน .. เค้าไม่รอเรานะครับ
อย่างเดียวคือ "ต้องทำ!! และทำเดี๋ยวนี้!!" ไม่มีคำว่า"จะ!!!"
ถ้าตอนนี้รู้ตัวว่าช้าไปแล้ว .. สิ่งเดียวที่จะทำให้วิ่งตามทันคืนอื่นให้ได้
ก็ต้อง Speed up วิ่งให้เร็วขึ้นเป็น 2 - 3 เท่า !! เพื่อจะตามให้ทัน
เหนื่อยหน่อยนะ .. แต่ถ้าทำ มันคุ้มครับ!!
credited by victormc49
 
บทความนี้สามารถนำไปปรับใช้ได้ทั้งในการสอบโควตาและแอดมิชชั่น
รวมถึงการเตรียมตัวสอบเข้าทุกสถาบัน..

.....เรื่องการเตรียมตัวสอบเข้ามหาวิทยาลัยยังไม่จบแค่นี้
ครั้งหน้าจะพูดต่อในเรื่องของอุปสรรคต่างๆ ที่จะเข้ามาทดสอบใจเรา
อุปสรรคที่ว่ามีอะไรบ้าง .. แล้วเราจะจัดการกับมันอย่างไร
คลิกอ่านได้เลยกับบทความเรื่อง หลุมพรางอุปสรรคก่อนสอบ ที่ต้องเอาชนะ !! ได้เลยครับ
สู้ๆ !!!

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Sport Day หรือ Sports Day?

เด็กปีหนึ่งใช้ "Freshman" หรือ "Freshmen" ???

Organizing : Topic, Supporting และ Concluding Sentences